รีวิวผ่าตัดหมอนรองกระดูก
ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ซ่ามากนักเพราะนอนรักษาแผลอยู่ ผมมีอาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาสักระยะ ซึ่งตัวเองก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามันเป็นมานานแค่ไหน เพราะนึกว่าเป็นแค่การปวดหลังธรรมดา จะว่าไปผมเคยเป็นมีอาการเจ็บปวดช่วงที่ถ่ายรูปเยอะๆ รับงานถ่ายรูปทีไรต้องนอนพักอาการปวดถึงจะหาย แต่ตอนนั้นร่างกายยังแข็งแรงฟื้นตัวเร็วมันเลยไม่เด่นชัด และหลังจากออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานตอนนั้นร่างกายถือว่าฟิตพอสมควรอาการปวดหลังจะไม่ค่อยมี นอกจากจะเป็นในช่วงที่นั่งมากๆ หรือนอนมากๆ จนผมต้องล้มป่วยด้วยอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ตอนนั้นเห็นภาพซ้อนจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่สามารถออกกำลังกายได้เช่นเดิม มีผลต่อจิตใจและร่างกายพอสมควร คุณหมอให้ยาจำพวกสเตียรอยด์ผ่านไปรอบหนึ่งยังไม่หายเลยให้อีกรอบ เวลาตอนนั้นผมหมดไปกับการนอนพัก แต่การนอนพักกลับทำให้ผมพบว่าตัวเองมีความผิดเกี่ยวกับหลังอย่างรุนแรง ร่างกายอ่อนแอ กล้ามเนื้อเริ่มหดหาย จนมาถึงวันแตกหักผมต้องจัดห้องเพื่อให้ธนาคารมาประเมินราคา วันนั้นก้มๆ เงยๆ แม้จะไม่นานแต่ทำให้ผมเจ็บปวดมากแทบจะเดินไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดถึงโรคนี้ ผมก็หลีกเหลี่ยงการใช้งานหลังจนมันค่อยๆ ดีขึ้น สายตากลับมาดีเหมือนเดิมผมก็กลับไปปั่นจักรยานอีกครั้งแต่ครั้งนี้ผมพบว่า ร่างกายผมไม่เหมือนเดิม เหนื่อยง่าย และปวดขาบ่อยและมากขึ้น มีภาวะความดันสูงประกอบด้วย แต่ก็ไม่ได้รุนแรงจนไม่สามารถออกกำลังกายได้ จนครั้งสุดท้ายที่ออกทริปผมมีอาการปวดขาจนบางครั้งแทบบังคับขาตัวเองไม่ได้ ขณะปั่นก็จะชาจนเหมือนหายปวดทำให้ปั่นจนจบได้ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากนั้นการเดินผมเป็นไปได้ยากขึ้น จนตัดสินใจไปหาหมอ ตอนนั้นหมอก็ระบุเลยว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ให้ยามากินและบอกว่าโดยส่วนใหญ่โรคนี้หายเองได้ และ ถ้าทนไม่ได้จริงๆ ก็ปรึกษาเรื่องผ่าตัดได้ และให้กายภาพระยะหนึ่งแล้ว MRI แต่อาการมันไม่ดีขึ้นและเมื่อผล MRI ออกเพื่อนเลยพาไปคลีนิคศูนย์แพทย์ หมอที่นั่นแนะนำให้มาผ่าตัดที่ศิริราช กับ อ.จตุพร โชติกวณิชย์ ก็พากันมาทั้งเพื่อนและคุณแม่ของเพื่อน นัดสองสามนัดและทำ MRI ใหม่อีกรอบจนผล อ.หมอก็ถามว่าผ่าเลยไหม เพราะความเสียหายของหมอนรองค่อนข้างเยอะมีการปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทขาทั้งสองข้าง แต่อ.ก็ลังเลเรื่องอายุเพราะแกบอกว่าถือว่าอายุยังน้อยไปผ่าไปโอกาสผ่าซ้ำสูงถ้าผ่าต้องมีการยึดสกรูไว้ด้วยเพื่อไม่ให้กระดูกคลอนและบีบกดหมอนรองอีก ผมก็ตัดสินใจว่าถ้าหายก็ผ่าครับ อ.เลยนัดตรวจเลือดวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อจะผ่าวันที่ 1 ธ.ค. ซึ่งผมก็ยังงงๆ อยู่เพราะทุกอย่างมันรวดเร็วมาก ไม่ต้องรอคิวเพราะคิวของ อ. วันที่ 1 ธ.ค. นั้นเป็นคนปู่อายุแปดสิบกว่าและเพิ่งตัดสินใจไม่ผ่าให้ไป ทำให้ผมสามารถนัดแทนได้ทันที แต่ก็ต้องมีอุปสรรคสำคัญอีกผลเลือดบ่งว่าผมเป็นเบาหวาน แต่มันต้องผ่าอีกห้าวันแล้ว อ.เลยให้ไปปรึกษาคุณหมอเบาหวานแบบเร่งด่วนแต่วันนั้นคิวหมอเบาหวานไม่ว่าง ถ้าจะมาที่นี่ก็คงไม่สะดวก พี่ที่เป็นหมอเลยให้คำแนะนำเรื่องยา กินก่อนตรวจเลือดวันผ่าตัด นี่ก็เป็นอีกเหตุผลว่าผมไม่สามารถบอกใครได้มากนักว่าผมต้องผ่าตัดเพรามันแขวนอยู่บนความไม่แน่นอน คือฉุกละหุกตั้งแต่ผมรู้ตัวว่าต้องผ่าตัดอีกไม่กี่วันและเมื่อจะผ่าอีกห้าวันเลือดมีปัญหาอีก แต่เช้าวันที่หนึ่งวันนัดผ่าตัด เลือดผมมีค่าน้ำตาลลดลงมาในเกณฑ์ปกติ ก็เข้าพักเป็นผู้ป่วยในและอดอาหารอดน้ำหลังเก้าโมงทันที ตรวจวัดค่าต่างๆ x-ray รอผ่าสี่โมงเย็น ณ ตอนนี้สภาพจิตใจผมค่อนข้างดีไม่กังวลอะไร เมื่อถึงเวลาเค้าก็เคลื่อนย้ายผมไปยังห้องผ่าตัด พยาบาลชวนคุยเป็นกันเองผมไม่ได้มองไปรอบๆ เลยเห็นแต่หลังคาฝ้าเพดาน จนเค้าเข็นเข้สไปในห้องโถงใหญ่มีไฟดวงใหญ่ๆ สองดวง อากาศเย็น กลิ่นเฉพาะตัวมาก พยาบาลวิสัญญีเข้ามาแนะนำตัว พร้อมกับติดเซ็นเซอร์ต่างๆ ตามตัวผม ติดเครื่องวัดความดันที่บีบทุกห้านาที สักพักก็มีหมอวิสัญญีมาแนะนำตัว พร้อมบอกว่าเดี๋ยวจะฉีดยาให้ซึ่งยาตัวนี้จะรู้สึกเย็นที่แขน พยาบาลก็เอาหน้ากากมาครอบจมูกพร้อมบอกว่า ออกซิเจนนะคะ ตอนนั้นผมรู้สึกเจ็บปวดแขนมากเหมือนแขนกำลังจะหลุด รู้สึกว่ากำลังจะยกแขนแล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนผมได้ยินเสียงหมอวิสัญญีคนที่ฉีดยาให้ปลุก พร้อมกับถามว่าเป็นยังไงบ้าง ผมตอบไปว่าคอแห้งครับ และเหมือนจะปวดฉี่ ได้ยินเสียงตอบมาว่าคอแห้งอาจเกิดจากท่อตอนผ่าตัดครับ ส่วนรู้ปวดฉี่จะปกติครับเราใส่ท่อไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อ้าว!! เฮ้ย เสียความบริสุทธิ์ตอนไหนแล้วละนี่ แล้วผ่าเสร็จแล้วเหรอ ทำไมยังนอนหงายท่าเดิมอยู่เลย มีคนชวนคุยสักพัก เมื่อรู้สึกตัวดีแล้วไม่มึนไม่ปวดหัว ไม่อ้วกก็กลับห้องกัน มาถึงห้องแมวรออยู่สักพักโนก็หิ้วข้าวหมูแดงมา ก่อนนอนก็ฟาดหมูแดงเลย แมวป้อนให้มันอร่อยดีนะ ฮาๆ เมื่อมีสติดีก็คุยได้เล่นเฟซได้ คือตัวเองก็ยังงงว่าทำไมถึงได้ชิลขนาดนี้ คืนนั้นไม่ค่อยง่วง พยาบาลเข้ามาทุกชั่วโมง ไม่เพลีย หลังจากนั้นทางฝั่งวิสัญญีจะมาเยี่ยมกันเยอะสุด มากันเกือบทุกระดับเพื่อสอบถามผลข้างเคียงซึ่งโชคดีผมไม่พบอาการใดๆทั้งสิ้น ส่งนเรื่องแผลหมอให้นอนหงายทับแผลเลยตั้งแต่แรก พยาบาลก็บอกว่าพลิกตัวได้นะไม่ต้องเกร็ง หมอในทีมผ่าก็เข้ามาติดตามอาการ เจ็บแผลไหม ปวดไหม ผมก็ยังงงๆ ว่าผมไม่ปวดแผลเลย เค้าตัดเส้นประสาทออกไปหรือเปล่าฮาๆ. ผมนอนพลิกไปพลิกมาได้แบบชิลๆ พยาบาลบริการดีมากๆ ไม่มีหน้าบึ้ง เป็นกันเองทักคน เช็ดตัวให้อย่างดีตั้งแต่ต้นจนวันออก ที่ต้องทำใจหน่อยก็ตอนมาทำความสะอาดน้องน้อยตอนยังใส่สายฉี่ บุรุษพยาบาลมาถึงก็เช็ดๆ เหอๆ วันถอดสายก็เหมือนกัน คือเพิ่งเคยครั้งแรกมันก็จะเสียวๆ ก่อนถอดเค้าจะดูดฉี่ออกก่อนมันก็จะรู้ตื้อๆ แล้วก็โดนถอดสายออกไป ท่านชายคงเข้าใจนะ!!! เมื่อถอดสายฉี่มันก็มีปัญหาหาอีก คือฉี่เองไม่เป็นครับพยาบาลก็เข้ามาถามตลอดว่าฉี่หรือยัง ถ้ายังค้องสวนนะคะ แค่นั้นแหละ คอมฟอร์ทอยู่ไหนผมจะพยายาม!!! ในที่สุดก็ฉี่ออกจนได้แบบเกือบล้นคอมฟอร์ทนะไม่ได้โม้ ฉี่ผ่านไป วันถัดมาหมอดูแล้วทุกอย่างไปได้ด้วยดีฟื้นตัวเร็วมากแผลแห้ง ก็ถอดสายระบายเลือดให้ พร้อมทั้งให้ปรับเตียงได้มากขึ้น สอนใส่ซับพอร์ตแล้วให้เดินได้เลย เฮ้ย เร็วไปไหม คุณหมอก็บอกว่าเร็วไปนะ แล้วก็มีกายภาพมาแนะนำ เดินได้แล้วเข้าห้องน้ำเองได้แล้ว แต่ปัญหาใหญ่อีกคืออึ๊ไม่ออกตั้งแต่วันแรกจนถอดสายระบายเลือดออก พยาบาลแอบให้ยาถ่ายก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่เป็นผล หูรูดมันไม่ตอบสนอง ก็มีเสียงขู่ว่าถ้าไม่ออกเองก็สวนนะ จิตใจไม่ดีเลยบอกตรง ๆ ฮาๆ จนในที่สุดก็ออกมาจนได้แต่นิดหน่อย และไม่ได้แข็งแบบท้องผูกนะ มันก้อนเล็กๆ สรุปตอนอยู่โรงพยาบาลทุกอย่างราบรื่นมาก มีไข้บ้างเล็กน้อย หมอมาดูวันที่ห้า ก็ถามว่ากลับบ้านเลยไหม เลยตอบว่าถ้าไม่มีปัญหาก็กลับครับงั้นพรุ่งนี้ถ้าไม่มีอะไรแทรกซ้อนก็กลับได้ … คือผ่าตัดใหญ่พร้อมขันสกรูนะ กลับมาบ้านแล้วก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าแผลจะหายดีไหม มีอะไรแทรกซ้อนไหม ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ… สิ่งที่เจ็บที่สุดคือน้องพยาบาลแกะเข็มให้ก่อนกลับบ้านขนพี่ร่วงไปเป็นแถบน้ำตาเล็ดเลยฮาๆ